วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
บทที่ 2 หน่วยวัดไฟฟ้าและปริมาณไฟฟ้า
1.ทฤษฎีอิเล็กตรอน
สสารทุกชนิดประกอบขึ้นด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดเรียกว่า อะตอม จุดศูนย์กลางของแต่ละอะตอมเรียกว่า นิวเคลียส ภายในนิวเคลียสจะประกอบไปด้วยโปรตอนและนิวตรอนรอบๆ นิวเคลียสมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่ โปรตอนมีอำนาจไฟฟ้าบวก อิเล็กตรอนมีอำนาจไฟฟ้าลบ สำหรับนิวตรอนมีอนุภาคที่เป็นกลาง จึงไม่มีความสำคัญที่จะกล่าวถึงต่อไป นิวเคลียสครอบครองเนื้อที่ในอะตอมเพียงส่วนน้อย เนื้อที่ที่เหลือมีอิเล็กตรอนเคลื่อนที่หมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบนิวเคลียส ตามธรรมชาติแล้วจะเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางซึ่งอิเล็กตรอนน่าจะหลุดออกจากโคจร แต่ที่ไม่หลุดออกไปเพราะมีโปรตอนดึงดูดไว้ แต่เมื่อใดที่มีพลังงานภายนอกที่มากกว่ามากระทำก็จะทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากวงโคจรได้
รูปที่ 1.1 โครงสร้างอะตอมของฮีเลียมและทองแดง
ในตารางธาตุจะเป็นตัวบอกจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนในแต่ละอะตอมของธาตุนั้นๆ เช่น ธาตุที่ 2 คือ ฮีเลียมจะมีโปรตอน 2 ตัวและอิเล็กตรอน 2 ตัว ธาตุที่ 29 คือทองแดงจะมีโปรตอน 29 ตัวและอิเล็กตรอน 29 ตัว เป็นต้น ดังแสดงในตารางที่ 1.1
ตารางที่ 1.1 ตารางธาตุและชั้นวางของวงจรโคจรของอะตอม
1.1 วงเวเลนซ์และเวเลนซ์อิเล็กตรอน
ถ้าพิจารณาจากการบรรจุจำนวนอิเล็กตรอนของธาตุต่างๆ จะพบว่าชั้นนอกสุดว่าธาตุใดๆ จะมีอิเล็กตรอนได้ไม่เกิน 8 ตัว วงที่อยู่นอกสุดนี้เรียกว่า วงเวเลนซ์ และเล็กตอนที่อยู่ในชั้นนี้เรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตอน ดังแดงในรูปที่ 1.2 ซึ่งแสดงเวเลนซ์อิเล็กตรอนในอะตอมของทองแดง
รูปที่ 1.2 แสดงวงเวเลนซ์และเวเลนซ์อิเล็กตรอนของอะตอมทองแดง
โลหะมีคุณสมบัติตัวนำไฟฟ้าที่ดี กล่าวคือ เมื่อให้พลังงานกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้เวเลนซ์อิเล็กตรอนหลุดออกจากวงโคจรได้ เป็นผลทำให้โลหะสามารถนำไฟฟ้าได้ ในกรณีที่เวเลนซ์อิเล็กตรอนได้รับพลังงานเป็นจำนวนมากแล้วยังไม่สามารถหลุดออกจากวงโคจรได้ คุณสมบัติทางไฟฟ้าของสารชนิดนั้นจะแสดงออกในรูปของฉนวนคือ ไม่นำไฟฟ้าสำหรับสารกึ่งตัวนำนั้นโดยความหมายในตัวมันก็คือ จะนำไฟฟ้าได้ในบางโอกาส และอาจจะเป็นฉนวนได้ในบางโอกาส
ฉนวน ธาตุใดที่มีอิเล็กตรอนวงนอกสุด 5 ถึง 8 ตัว จะเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี เพราะพลังงานภายในยากที่จะดึงให้อิเล็กตรอนวงนอกสุดหลุดออกไปได้ ถ้าจะให้อิเล็กตรอนหลุดออกไปจริงๆ ก็ต้องเฉลี่ยพลังงานให้อิเล็กตรอนเท่ากัน จึงจะดึงให้หลุดออกไปได้ ดังนั้นจึงต้องใช้แรงดันไฟฟ้ามากๆ จึงจะทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านได้ วัตถุนั้นก็จะถูกเรียกว่า ฉนวน
1.1.1 อิเล็กตรอนอิสระ
อิเล็กตรอนส่วนที่วิ่งอยู่ในวงโคจรรอบนอกสุดเรียกได้ว่า เป็นส่วนประกอบของจำนวนอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในอะตอมนั้นๆ แต่อิเล็กตรอนรอบนอกเหล่านี้จะถูกดูดโดยแรงจากนิวเคลียสแค่เพียงเล็กน้อย มันจึงพยายามที่จะหนีออกจากวงโคจรอยู่ตลอดเวลา โดยผลักดันตัวมันเองไปยังอะตอมอีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้างเคียง เช่น ในทองแดง เงิน หรือโลหะอื่นๆ จะมีอิเล็กตรอนซึ่งสามารเคลื่อนที่ออกจากอะตอมได้อย่างอิสระ เราจึงเรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า อิเล็กตรอนอิสระไฟฟ้ามีคุณสมบัติหลายประการ เช่น ประกายไฟฟ้าซึ่งเกิดจากไฟฟ้า ปฏิกิริยาทางความร้อน ปฏิกิริยาทางเคมี หรือปฏิกิริยาทางแม่เหล็ก ซึ่งเกิดขึ้นจากการไหลของกระแสไฟฟ้า สาเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอิเล็กตรอนอิสระทั้งสิ้น
เมื่ออิเล็กตรอนหลุดออกไปจากวงโคจรก็จะมีที่ว่างเกิดขึ้น เราเรียกที่ว่างที่เกิดขึ้นนี้ว่า โฮล(Hole) ซึ่งแปลว่าหลุดหรือบ่อ บางคนเปรียบเทียบโฮลเหมือนรอยเท้า และอิเล็กตรอนคือเท้า ขณะที่เท้าวิ่งไปข้างหน้า รอยเท้าก็วิ่งไปข้างหลัง คล้ายกับเรานั่งบนรถไฟฟ้า
ดังนั้นเมื่ออิเล็กตรอนวิ่งก็ดูเหมือนว่าโฮลเคลื่อนที่ด้วยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่โฮลนั้นอยู่กับที่ การที่อิเล็กตรอนวิ่งเราจึงกำหนดว่า เป็นกระแสไฟฟ้าที่ไหลจากขั้วลบไปหาขั้วบอก และการที่กระแสไฟไหลจากขั้วบอกไปหาขั้วลบ ก็สมมติว่าโฮลเป็นตัวเคลื่อนที่ด้วยเหมือนกัน
โฮล 1 ตัวที่เกิดจากอิเล็กตรอนอิสระหลุดจากวงโคจร 1 ตัว มีลักษณะดังแสดงในรูปที่ 1.3
\
รูปที่ 1.3 อิเล็กตรอนอิสระจากอะตอมหนึ่งเคลื่อนที่ไปยังอีกอะตอมหนึ่ง
ทำให้เกิดการไหลของกระแสไฟฟ้า
1.2 กระแสไฟฟ้า
1.2.1 กระแสไฟฟ้าคืออะไร
เมื่อต่อแบตเตอรี่และหลอดไฟเข้าด้วยกันโดยใช้ลวดทองแดง ดังแสดงในรูปที่ 1.4 หลอดไฟจะส่องแสงออกมา สาเหตุนี้เป็นเพราะเมื่อทำการต่อวงจร อิเล็กตรอนอิสระ (ประจุไฟฟ้าลบ) ภายในลวดทองแดงถูกดึงดูดให้เคลื่อนตัวไปทางด้วยขั้วบอกของแบตเตอรี่ เมื่ออิเล็กตรอนอิสระถูกจ่ายออกจากขั้วลบของแบตเตอรี่ตัวแล้วตัวเล่า มันจะทำให้เกิดการไหลของอิเล็กตรอนติดต่อกันภายในเส้นลวดทองแดง การไหลของอิเล็กตรอนนี้เรียกว่า กระแสไฟฟ้า หรือเรียกง่ายๆ ว่า กระแส
รูปที่ 1.4 การไหลของอิเล็กตรอนในลวดทองแดง
1.2.2 ปริมาณและหน่วยของกระแส
ปริมาณการไหลผ่านของกระแสภายในตัวนำนั้น เท่ากับจำนวนของอิเล็กตรอนอิสระไหลผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำต่อวินาที
ขนาดหรือปริมาณของกระแสนี้วัดในรูปของแอมแปร์ มีสัญลักษณ์คือ A ในขณะที่การแสดงถึงตัวกระแสใช้สัญลักษณ์ I
1 แอมแปร์มีค่าเท่ากับอิเล็กตรอนอิสระจำนวน 6.25 x 1018 ตัว เคลื่อนที่ผ่านตัวนำต่อวินาที ดังแสดงในรูปที่ 1.5
รูปที่ 1.5 กระแส 1 แอมแปร์คือการไหลของอิเล็กตรอนอิสระจำนวน 6.25 x 1018 ตัวต่อวินาที
หมายเหตุ :
1. 1018 เป็นวิธีการง่ายๆ ที่เขียนแทน 1 ตามด้วยศูนย์อีก 18 ตัว หรือ 1,000,000,000,000,000,000 ซึ่งคล้ายกับ 6.25 x 1018 เท่ากับ 6,250,000,000,000,000,000
2. อิเล็กตรอน 6.25 x 1018 ตัว ถูกเรียกว่า 1 คูลอมบ์ของประจุไฟฟ้า ดังนั้น 1 แอมแปร์จึงหมายถึง 1 คูลอมบ์ต่อวินาที
3. ธาตุใดที่จำนวนอิเล็กตรอนมาก และชั้นนอกสุดมีจำนวนอิเล็กตรอน 1 ถึง 2 ตัว ส่วนมากจะเป็นตัวนำไฟฟ้า
บทที่ 1 แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
หน่วยที่ 1 แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current Source)
สาระสำคัญ
ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการในการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทั้งที่อยู่อาศัย โรงงาน อุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา สำนักงาน ฯลฯ
ปัจจุบันไฟฟ้ำมีแหล่งกำเนิดมาจากหลายแหล่ง
เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ แบตเตอรี่
พลังงานจากลม พลังงานแสงอาทิตย์
ถ่านไฟฉาย โดยเราสามารถแบ่งแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเป็น
2 ประเภท คือ แหล่งกำเนิดไฟฟ้ำกระแสตรงและแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ โดยในหน่วยนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ
แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
บทที่
1 แหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้าที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์มากมาย
ใช้เปลี่ยนพลังงานรูปหนึ่งไปอีกพลังงานอื่น ๆ
เช่น เครื่องดูดฝุ่น เครื่องปั่น
และเครื่องทำความเย็น เป็นต้น ไฟฟ้านั้นสามารถกำเนิดขึ้นมาได้หลายวิธี เราจึงต้องการเลือกวิธีกำเนิดไฟฟ้ามาใช้งานนั้นจะต้อง
เลือกให้เหมาะสม
1.1 ชนิดของไฟฟ้า ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมีอยู่
2 ชนิด คือ ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเองโดยตามธรรมชาติ เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไฟฟ้าสถิตกับไฟฟ้าที่มนุษย์ผลิตขึ้นมา เรียกว่า ไฟฟ้ากระแส
1.1.1 ไฟฟ้าสถิต ( Static
Electricity ) ไฟฟ้าสถิต คือ ปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากัน
และไม่เคลื่อนที่ (จึงเรียกว่า สถิต)
จนกระทั่งมีกำรถ่ายเทประจุหรือเกิดการไหลของอิเล็กตรอน กลายเป็นไฟฟ้ากระแส
ปกติจะอยู่ในรูปการดึงดูดหรือการผลักกันและเกิดประกายไฟ เช่น
การเสียดสีของวัตถุ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เป็นต้น
1.1.2 ไฟฟ้ากระแส ( Current Electricity ) ไฟฟ้ากระแส คือ
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่มนุษย์ผลิตขึ้นมา
โดยการส่งกระแสไฟฟ้าให้เคลื่อนที่ ไปในลวดตัวนำ ไฟฟ้ากระแสมี
2 ชนิด คือ
- ไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current , DC) คือ มีการใช้งานจะมีขั้วบวกและขั้วลบที่ แน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงมีทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้ำมีความคงที่แน่นอน เช่น ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ เซลล์สุริยะ เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เป็นต้น
รูปที่ 1.2 ไฟฟ้ากระแสตรง
- ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current , AC) คือ
มีทิศทางการไหลทางเดียว แต่สลับทิศซ้ำๆ
กันอย่างต่อเนื่อง
แรงดันกระแสสลับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องระหว่างบวก(+) และลบ (-) อัตราการเปลี่ยนทิศทาง
เรียกว่า ความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับ มีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ซึ่งก็คือ จำนวนรอบคลื่นต่อหนึ่งวินาที สำหรับประเทศไทยใช้ความถี่ 50Hz เช่น ไฟตามบ้านเรือน มีขนาด แรงดันไฟฟ้า 220 VAC และเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ เป็นต้น
รูปที่ 1.3 แรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
สรุป ไฟฟ้าแบ่งออกได้เป็น
2 ประเภทใหญ่ ๆ
ได้แก่ ไฟฟ้าสถิตย์ (Static Electricity) และ
ไฟฟ้ากระแส ( Current Electricity) ไฟฟ้าทั้งสองประเภทยังแบ่งวิธีการกำเนิดออกได้เป็น
6 วิธีการ ดังนี้ เกิดจากการเสียดสี เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี
เกิดจากความร้อน เกิดจากแรงกดดัน เกิดจากแสงสว่าง และเกิดจากสนามแม่เหล็ก
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ถูกค้นพบมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว
เกิดขึ้นได้จากการนำวัตถุ ต่างกัน 2 ชนิดมาขัดสีกัน เช่น แท่งยางกับผ้าขนสัตว์ แท่งแก้วกับผ้าแพร แผ่นพลาสติกกับผ้า และ หวีกับผม เป็นต้น ผลของการเสียดสีดังกล่าวทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้นของประจุไฟฟ้าในวัตถุทั้งสอง เนื่องจากเกิดการถ่ายเทประจุไฟฟ้า วัตถุทั้งสองจะแสดงศักย์ไฟฟ้าออกมาต่างกัน วัตถุชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าบวก ( + ) ออกมา วัตถุอีกชนิดหนึ่งแสดงศักย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี แสดงดังรูปที่ 1.4
รูปที่ 1.4
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสี
ที่มา :
พันธ์ศักดิ์ พุฒิมานิตพงศ์. 2555 : 23
ไฟฟ้าเกิดจากการเสียดสีนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชนิด
ต้องแห้งสนิท การตรวจสอบไฟฟ้าสถิตที่เกิดขึ้น โดยนำไปดูดเศษวัสดุชิ้นเล็กๆเบาๆ
เช่น กระดาษชิ้นเล็กๆ หรือ ลูกพิธบอลล์ ที่มีศักย์ไฟฟ้าเป็นบวก
ถ้าลูกพิธบอลล์ถูกดูดแสดงว่าศักย์ไฟฟ้าต่างกัน
แต่ถ้าลูกพิธบอลล์ถูกพลักแสดงว่าศักย์ไฟฟ้าเหมือนกัน
ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาเคมี
ไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาเคมี การนำวัตถุต่างกัน 2 ชนิด เช่น แผ่นสังกะสีกับแผ่นทองแดงจุ่มลงในสารละลายของกรด กำมะถันอย่างเจือจาง (H2SO4) ที่บรรจุลงในภาชนะ ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ จะทำ ให้เกิดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างขั้วเซลล์ ประจุไฟฟ้าลบ (-) ไปรวมตัวอยู่ด้านแผ่นสังกะสี ทำให้ แผ่นสังกะสีศักย์ไฟฟ้าลบ (-) ออกมา ประจุไฟฟ้าบวก (+) ไปรวมตัวอยู่ด้านแผ่นทองแดง ทำให้แผ่น ทองแดงศักย์ไฟฟ้าบวก (+) ออกมา การตรวจสอบแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากการปฏิกิริยาเคมี โดยวัดคร่อมที่แผ่นโลหะทั้งสอง โวลต์มิเตอร์จะแสดงค่าแรงดันไฟฟ้าออกมา แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเกิดจากการปฏิกิริยาเคมีแบบพื้นฐานมีชื่อ เรียกว่า โวลตาอิกเซลล์ (Voltaic Cell) แสดงดังรูปที่ 1.5
Cr. http://electricity-basic.blogspot.com/2012/10/blog-post_27.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)